วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การเดินทางไปจังหวัดบึงกาฬ
 สามารถเดินทางหลายเส้นทาง ดังนี้
1.รถยนต์ 
- จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหมายเลข 1 ผ่านจังหวัดสระบุรีแล้วเข้าทางหลวงหมายเลข 2 ผ่านจังหวัดนครราชสีมา-จังหวัดขอนแก่น- จังหวัดอุดรธานี-จนถึงจังหวัดหนองคายและจากหนองคายสู่อำเภอบึงกาฬ โดยจะผ่านอำเภอโพนพิสัย กิ่งอำเภอรัตนวาปี อำเภอปากคาด รวมระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 751 กิโลเมตร
2. รถโดยสารประจำทาง 
มีรถโดยสารประจำทางทั้งรถโดยสารธรรมดาและรถปรับอากาศ 
- จากบริษัทขนส่งจำกัด http://www.transport.co.th โทรศัพท์: 0 2 936  2841 - 48, 0 2936 2852 - 66 ต่อ 442, 311
- บริษัท แอร์อุดร จำกัด http://airudon.comze.com สำรองที่นั่ง กรุงเทพฯ โทร 02 936 2735 อุดรธานี โทร 0 4224 5789 สถานที่จำหน่ายตั๋วอาคารหมอชิต 2 ชั้น 3 ช่องจำหน่ายตั๋ว 55 และ 118 (หลังประชาสัมพันธ์ ชั้น 3)
- บริษัท 407 พัฒนา ให้บริการด้วยรถปรับอากาศชั้น 1 และชั้น 2 ชนิด ม.1ข ,ม.4ข ,ม.1พ ,ม.2  ให้บริการรถสาย กรุงเทพฯ หนองคาย บึงกาฬ บุ่งคล้า, กรุงเทพฯ กุมภวาปี บึงกาฬ ,ระยอง-ขอนแก่น-พังโคน-บึงกาฬ
  และยังมีรถบริษัทเอกชนหลายแห่ง จัดรถวิ่งระหว่างกรุงเทพฯ-หนองคาย โดยเริ่มจากสถานีขนส่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (หมอชิต 2) ถนนกำแพงเพชร
3. รถไฟ
- มีขบวนรถไฟจากกรุงเทพฯ-หนองคาย และขบวนรถด่วนดีเซลราง กรุงเทพ - อุดรฯ ทุกวัน ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 1690, 0 2223 7010, 0 2223 7020  www.railway.co.th  สถานีรถไฟหนองคาย โทร. 0 4241 1592
4. เครื่องบิน 
สามารถไปได้โดยลงที่สนามบินจังหวัดอุดรธานี รายละเอียดสอบถามได้ที่บริษัทการบินไทย จำกัด http://www.thaiairways.co.th/  ศูนย์สำรองที่นั่ง 0 2356 1111
สายการบิน ไทยแอร์เอเชีย โทร. 0 2515 9999 http://www.airasia.com/th/th/home.html
สายการบินนกแอร์   www.nokair.com Call us Nok Air at 1318 or +662- 900-9955
เรียบเรียงข้อมูลโดย  สนุก!

วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2556



บริษัท LINE Corporation แถลงการณ์ ‘ยังไม่เคยได้รับคำขออย่างเป็นทางการจากตำรวจไทยเลย

หลังจากที่มีข่าวครึกโครมทีเดียว กับเรื่องที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือย่อสั้นๆว่า ปอท. ออกมาบอกว่าจะตรวจสอบการแชทของแอพ LINE และได้มีการขอความร่วมมือกับ LINE ไปแล้ว

ตอนนี้บริษัท LINE Corporation สำนักงานใหญ่ที่ญี่ปุ่นได้ออกมาแถลงข่าวว่า ยังไม่ได้รับคำขออย่างเป็นทางการจาก ปอท. เลย จึงไม่สามารถให้ข้อมูลใดๆได้ นอกจากนี้ LINE จะยังคงเก็บรักษาข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ต่อไปตามนโยบายของบริษัท และยังรักษาความปลอดภัยในระดับมาตรฐานสากลอยู่

และ LINE ถือว่าตลาดไทยเป็นตลาดสำคัญเพราะมีจำนวนผู้ใช้มาก 




วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ไหนปตท.เคยบอกว่าไม่กระทบ

ไหนปตท.เคยบอกว่าไม่กระทบ??..."ปะการังฟอกขาวอ่าวพร้าว ตายแล้วกว่า80%"..//**กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งพบปะการังฟอกขาวตายแล้วกว่า 80 % บริเวณอ่าวพร้าว-อ่าวปลาต้ม เร่งฟื้นฟู-วางทุ่นห้ามนักท่องเที่ยวเข้าใกล้

วันที่ 14 ส.ค. ที่ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1 ต.เพ อ.เมืองจ. ระยอง นายวิฑูรย์ ชลายนนาวิน รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พร้อมด้วย นายบำรุงศักดิ์ ฉัตรอนันทเวช ผอ.ศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก และนายภุชงค์ สฤษฎีชัยกุล ผอ.ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1 ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังจากเจ้าหน้าที่ได้ดำน้ำสำรวจแนวปะการังบริเวณใกล้อ่าวพร้าว และอ่าวปลาต้ม เกาะเสม็ด ที่ได้รับผลกระทบจากคราบน้ำมันรั่วไหลและเก็บตัวอย่างปะการังมาวิเคราะห์เนื้อเยื่อ เพื่อหาสาเหตุการตายของปะการัง รวมทั้งประเมินว่าเกิดการฟอกขาวตายแล้วประมาณ 80 เปอร์เซนต์เป็นบริเวณกว่า 6 ไร่ ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. เป็นต้นมาเจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก ได้สำรวจสภาพปะการังบริเวณพื้นที่ที่มีผลกระทบโดยตรงคืออ่าวพร้าวและพื้นที่ใกล้เคียงพบว่าแนวปะการังบริเวณพื้นที่อ่าวพร้าวด้านทิศใต้ประมาณ 2 ไร่ เรื่อยไปจนถึงอ่าวปลาต้มพื้นที่ประมาณ 4 ไร่ จากการสำรวจพบว่า ปะการังเกิดการฟอกขาวเป็นกลุ่ม ๆ มากกว่าร้อยละ 80 % ซึ่งแสดงถึงระบบนิเวศในทะเลบริเวณดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ไม่ดีตลอดแนวรวม 6 ไร่

นายวิฑูรย์ รองอธิบดีกรมทรัพยากรฯ กล่าวว่า แนวทางการแก้ไข กรมทรัพยากรฯ สั่งการให้ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1 และศูนย์วิจัยและพัฒนาฯดำเนินการแผนฟื้นฟูทรัพยากรปะการังเป็นการเร่งด่วน 1.ให้ศูนย์อนุรักษ์ฯกำหนดเขตคุ้มครองปะการัง โดยการวางทุ่นปิดกั้นด้วยทุ่นไขปลามีความยาว 100 เมตร/เส้นจำนวน 10 เส้น และวางทุ่นผูกเรือจำนวน 10 จุด โดยรอบพื้นที่แหล่งปะการังจำนวน 2 จุดคือ แหล่งปะการังบริเวณด้านทิศใต้อ่าวพร้าวประมาณ 2 ไร่ และแหล่งปะการังอ่าวปลาต้ม ประมาณ 4 ไร่ เพื่อห้ามไม่ให้ทำกิจกรรมใดๆ เช่นการท่องเที่ยว การประมงหรืออื่นๆที่เป็นการบุกรุกรบกวนทรัพยากรปะการัง เป็นการชั่วคราวจนกว่าจะเข้าสู่สภาพปกติและ เพื่อให้ระบบนิเวศในทะเลพื้นที่ดังกล่าวกลับคืนสภาพสมบูรณ์เหมือนเดิมโดยธรรมชาติ

สำหรับศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลฯ ให้ดำเนินการสำรวจติดตามสถานภาพแหล่งปะการังทั้ง 2 จุดอย่างต่อเนื่องและพื้นที่เชื่อมโยง และเก็บตัวอย่างน้ำทะเลและการฟื้นตัวของแนวปะการังและระบบนิเวศ นอกจากนี้ให้ทั้ง 2 หน่วยงานรายงานข้อมูลผลการดำเนินการ สถานภาพปะการังและระบบนิเวศในทะเลพื้นที่ดังกล่าวถึงจังหวัดระยองและกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทุกวัน ส่วนพื้นที่อื่นๆในทะเลและชายฝั่ง ซึ่งอาจได้รับผลกระทบด้านทรัพยากรทางทะเลและแนวชายฝั่ง หากสำรวจแล้วพบว่าอาจเกิดความเสียหายไม่ว่ากรณีใดๆ กรมทรัพยากรฯจะดำเนินการประกาศมาตรการที่เกี่ยวข้องต่อไปเป็นระยะๆและมีผู้พบเห็นปรากฏการณ์ที่อาจเกิดความเสียหายต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สามารถแจ้งได้ที่ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1 ต.เพ อ.เมืองระยอง หมายเลขโทรศัพท์ 038 -653722 ตลอด 24 ชั่วโมง.

http://www.dailynews.co.th/thailand/226096



วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ตำนานจระเข้กินคนจากทั่วโลก !!!

ชาละวัน เป็นจระเข้ใหญ่เลื่องชื่อแห่ง แม่น้ำน่านเก่าเมืองพิจิตร สันนิษฐานว่าเกิดขึ้นในสมัยที่พิจิตรมีเจ้าเมืองปกครอง ตามตำนานกล่าวว่า มีตายายสองสามีภรรยา ออกไปหาปลาพบไข่จระเข้ที่สระน้ำแห่งหนึ่ง จึงเก็บมาฟักเป็นตัวแล้วเลี้ยงไว้ในอ่างน้ำ เพราะยายอยากเลี้ยงไว้แทนลูก ต่อมาจระเข้ตัวใหญ่ขึ้นจึงนำไปเลี้ยงไว้ในสระใกล้บ้านหาปลามาให้เป็นประจำ ต่อมาตายายหาปลามาให้เป็นอาหารไม่พออิ่ม จระเข้ตัวนั้นจึงกินตายายเป็นอาหาร เมื่อขาดคนเลี้ยงดูให้อาหาร จระเข้ใหญ่จึงออกจากสระไปอาศัยอยู่ในแม่น้ำน่านเก่าซึ่งอยู่ห่างจากสระตายายประมาณ 500 เมตร
แม่น้ำน่านเก่าในสมัยนั้นยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ปลานานาชนิดและมีน้ำบริบูรณ์ตลอดปี ขณะนั้นไหลผ่านบ้านวังกระดี่ทอง บ้านดงเศรษฐี ล่องไปทางใต้ ไหลผ่านบ้านดงชะพลู บ้านคะเชนทร์ บ้านเมืองพิจิตรเก่า บ้านท่าข่อย จนถึงบ้านบางคลาน จระเข้ใหญ่ก็เที่ยวออกอาละวาดอยู่ในแม่น้ำตั้งแต่ย่านเหนือเขตวังกระดี่ทอง ดงชะพลู จนถึงเมืองเก่า แต่ด้วยจระเข้ใหญ่ของตายายได้เคยลิ้มเนื้อมนุษย์แล้ว จึงเที่ยวอาละวาดกัดกินคนทั้งบนบกและในน้ำไม่มีเว้นแต่ละวัน จึงถูกขนานนามว่า “คุณตาละวัน” ตามสำเนียงภาษาพูดของชาวบ้านที่เรียกตามความดุร้ายที่มันทำร้ายคน ไม่เว้นแต่ละวัน ต่อมาก็เรียกเพี้ยนเสียงเป็น “คุณชาละวัน” และเขียนเป็น “ชาลวัน” ตามเนื้อเรื่องในพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ชื่อของชาละวันแพร่สะพัดไปทั่วเพราะเจ้าชาละวันไปคาบเอาบุตรสาวคนหนึ่งของเศรษฐีเมืองพิจิตรขณะกำลังอาบน้ำอยู่ที่แพท่าน้ำาหน้าบ้าน เศรษฐีจึงประกาศให้สินบนหลายสิบชั่ง พร้อมทั้งยกลูกสาวที่มีอยู่อีกคนหนึ่งให้แก่ผู้ที่ฆ่าชาละวันได้ ไกรทอง พ่อค้าจากเมืองล่าง สันนิษฐานว่าจากเมืองนนทบุรี รับอาสาปราบจระเข้ใหญ่ด้วยหอกลงอาคมหมอจระเข้ ถ้ำชาละวันสันนิษฐานว่าอยู่กลางแม่น้ำน่านเก่า ปัจจุบันอยู่ห่างจากที่พักสงฆ์ถ้ำชาละวัน บ้านวังกระดี่ทอง ตำบลย่านยาว ไปทางใต้ประมาณ 300 เมตร ทางลงปากถ้ำเป็นโพรงลึกเป็นรูปวงกลมมีขนาดพอดี จระเข้ขนาดใหญ่มากเข้าได้อย่างสบาย คนรุ่นเก่าได้เล่าถึงความใหญ่โตของชาละวันว่า เวลามันอวดศักดาลอยตัวปริ่มน้ำขวางคลอง ลำตัวของมันจะยาวคับคลอง คือหัวอยู่ฝั่งนี้ หางอยู่ฝั่งโน้น เรื่องชาละวันเป็นเรื่องที่เลื่องลือมาก จน ร.2 ทรงสนพระทัยในเรื่องเล่าขานนี้และได้ทรงพระราชนิพนธ์บทละครนอกเรื่อง “ไกรทอง” และให้นามจระเข้ใหญ่ว่า “พญาชาลวัน” อนึ่ง พญาชาลวัน เป็นตำนานเล่าขานมาแต่โบราณ ไม่มีหลักฐานยืนยันการมีอยู่ของจระเข้ยักษ์ตัวนี้แต่อย่างใด
จ้าววังโนราห์ จระเข้สุดโหดแห่งคลองอีปัน
คลองอีปันซึ่งเป็นคลองธรรมชาติแยกจากแม่น้ำตาปีในจังหวัดสุราษฎธานี นั้น เป็นคลองที่กล่าวกันว่าในอดีตชุกชุมด้วยจระเข้ใหญ่น้อยมากมาย และหนึ่งในนั้นที่ถือว่าเป็นตำนานเล่าขานของสองฝั่งคลองอีปันก็ คือสถานที่ ที่เรียกกันว่า “วังโนราห์”
เหตุที่ได้ชื่อนี้มีเรื่องเล่าว่า ณ ค่ำคืนหนึ่งคณะมโนราห์กลับจากการไปแสดงในยามดึกจำต้องล่องเรือสำปั้นใหญ่ ผ่านเข้าสู่เวิ้งน้ำกว้างของคลองอีปัน ทันใดนั้นเองก็ปรากฏจระเข้ใหญ่อันซ่อนเร้นกายอยู่ในวังน้ำจู่โจมหมุนเรือจน คว่ำและขย้ำฉีกกินเหล่ามโนราห์เคราะห์ร้ายจนหมดทั้งลำเรืออย่างสยองขวัญ สถานที่แห่งนั้นจึงเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและกระแสโลหิตอันไหลหลั่งเต็มท้องธาร ณ ที่แห่งนั้นจึงได้รับการเรียกขานกันว่า“วังโนราห์” และเรียกขานขนานนามจ้าวผู้ครอบครองวังน้ำแห่งนั้นว่า “จ้าววังโนราห์”
จากวันนั้นถึงวันนี้นับเป็นกาลเวลาล่วงเลยผ่านไปไม่นานนักก็ปรากฏเหยื่อเคราะห์ร้ายอีก 2 รายซ้อน ๆ กัน ทั้งคู่เป็นชายชาวบ้านน้ำและเป็นคู่หูคู่เกลอกันมายาวนาน วันหนึ่งทั้ง 2 ออกไปตัดหวายตามปกติเพื่อนำมาจุลเจือครอบครัวบริเวณทางตอนเหนือของคลองแล้ว ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ชาวบ้านแถบละแวกดังกล่าวพร้องผู้ใหญ่บ้านต่างระดมลูกบ้านออกตามหาแต่ก็ไม่ เจอ เพียงแต่ปรากฏพบแต่ลำเรือของเกลอทั้ง 2 ที่ถูกคว่ำจนจมและแตกละเอียดดั่งโดนแรงมหาศาลของพญาสัตว์เข้าขย้ำเล่นงาน จนชาวบ้านต่างลงความเห็นว่า ชายทั้ง 2 โดนจ้าววังโนราห์คาบไปกินเสียแล้ว
อีกไม่กี่วันต่อมาก็ปรากฏหญิงสาวชาวน้ำพายเรือกำลังจะกลับบ้านแต่เมื่อผ่าน วังโนราห์แล้วก็หายตัวไปเฉยๆ ชาวบ้านพบเพียงเรือพายที่คว่ำพร้อมกับมีรอยแตกจากการขบกัดด้วย แรงมหาศาล……เสร็จไปอีกหนึ่ง หลังจากได้ลิ้มรสชาติเนื้อมนุษย์มาหลายๆครั้ง จระเข้ร้ายเริ่มรู้สึกติดใจจึงเริ่มออกอาละวาดอีกคราวนี้เหยื่อของมันเป็น ชายชราผู้มีอาชีพหาของป่าถูกคว่ำเรือ และลากไปกินอีกราย
ท่ามกลางความหวาดกลัวของชาวบ้าน ผู้ใหญ่บ้านจึงทำการว่าจ้างหมอปราบจระเข้ฝีมือฉกาจมาจากแหล่งต่าง ๆ แต่ก็ดู เหมือนว่าจ้าววังโนราห์จะรู้ทัน………มันกบดานเงียบเหมือนนกรู้ จนชาวบ้านต่างเล่าลือกันว่ามันเป็น “จระเข้ผีสิง”
แต่จะอย่างไรก็ตามแต่ด้วยความสามารถของ “โอม ชุมทอง” พรานจระเข้หนุ่มฝีมือดีที่เข้ามาล่าจ้าววังจนมันต้องเป็นฝ่ายหนีหัวซุกหัวซุนบ้างและถูกเผด็จศึกลงได้ในไม่ช้า ความสงบสุขของที่นี่จึงหวนกลับมาอีกครั้งหนึ่งเป็นเหลือเพียงตำนานเล่าขาน ถึงความโหดร้ายอำมหิตของจระเข้ร้ายที่ชื่อ “จ้าววังโนราห์” เอาไว้เล่าให้ลูกหลานฟัง
ด่างเกยชัย แห่งคลองบางมุด
“คุณด่างเกยชัย” ปลายเดือนตุลาคม 2509 มี จระเข้น้ำเค็มมีขนาดลำตัวใหญ่ ความยาวหัวจรดหางกว่า ๙ เมตร โผล่ขึ้นมากัดกินชาวบ้าน และสัตว์นับร้อยชีวิต กระทั่งเป็นข่าวตื่นตระหนก จนทางราชการต้องระดมพลออกตามล่าคุณด่างเกยชัยกันครั้งใหญ่ โดยมีคำสั่งให้ ตำรวจพลร่มหน่วย ” เสือดำ ” ๒ นายแห่งค่ายนเรศวร เข้าร่วมกับชาวบ้านระดมกำลังกว่า 200 คน ใช้เรือกว่า 100 ลำ ไล่ล่าจระเข้ยักษ์ตัวนี้ จากคลองบางมุด จ.ชุมพร ไปถึงคลองเขาปีป ใช้เวลาในการไล่ล่า นานนับเดือน ซึ่งเมื่อพบรังของมัน เจ้าหน้าที่ทหารได้ใช้ ระเบิด C3 จำนวน 3 ลูก โยนลงไปในคลอง ทำให้เจ้าจระเข้ยักษ์หมดฤทธิ์ ก่อนพุ่งฉมวก เข้าไปปักกลางหลังอันเป็นการปิดฉากตำนานอันน่าสยดสยองของ ด่างเกยชัย ลงในที่สุด
สำหรับลักษณะของจระเข้ยักษ์ที่เรียกกันว่า “คุณด่าง” นั้นเพราะ เป็นจระเข้พันธุ์ “คุณเคี่ยม” ซึ่งเป็นจระเข้ตีนเป็ด หรือพันธุ์ทองหลาง ตัวดำเมื่อมสนิทมีสีขาวที่คอและตามตัวเวลามันโผล่ลอยตัวขึ้นมาเหนือน้ำนั้น จะมองเห็นสีขาวพาดที่บริเวณคอ
ซากคุณด่างถูกนายไห้ แซ่เซ็งซื้อตัวไปในราคา ๒๓,๐๐๐ บาท ทำให้องค์การสวนสัตว์ชวดได้ตัวคุณด่าง
จากการวัดจากซากของคุณด่าง มีความยาวจากหัวถึงหาง ๔.๒๕ เมตร รอบตัว ๑.๗๕ เมตร เล็กกว่าถังน้ำมัน ๒๐๐ ลิตร ๗ นิ้ว จากหัวถึงคอ ๒๕ นิ้ว อ้าปากกว้าง ๒๐ นิ้ว
การชำแหละคุณด่างเพื่อทำสต๊าฟฟ์ไว้ เมื่อผ่าลงไปในท้องก็พบกระดูกในท้องคุณด่างมากมาย และยืนยันได้ว่ากินคนแน่
ปรากฎว่าหลังจากการผ่าชำแหละซากแล้ว ได้พบแผลเห็นได้อย่างชัดเจนในซาก ‘คุณด่าง’ จระเข้ยักษ์ดังนี้…ขาเซนเซอร์ขวาถูกกระสุนปืนลูกโดดฝั่งในด้านซ้ายของลำตัว เนื้อเละไปทั้งแถบ คอด้านขวาเป็นรูเน่า ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ ‘คุณด่าง’ จระเข้ยักษ์พบจุดจบ ส่วนสันหลังบริเวณกว้างยาว ๑ ศอก ยุ่ยเป็นรอยไหม้ซี่โครงหักหลายซี่ เพราะถูกแรงระเบิดซ้ำซากหลายครั้งอย่างไม่ปราณี
โดยเฉพาะเมื่อผ่าแหวะส่วนกระเพาะของจระเข้ยักษ์แล้ว ทำให้นายบุญถึง และเจ้าหน้าที่ ๑๐ กว่าคนต้องตะลึงเมื่อพบว่า นอกจากเศษอิฐ เศษหินแล้ว ยังพบหัวกระโหลกมนุษย์ถึง ๒ หัวยังอยู่ในสภาพมีเศษผมติดกับหนังศรีษะอยู่ นอกจากนี้ยังพบชิ้นส่วนของมนุษย์ในกระเพาะจระเข้ตัวนี้อีกมีกระดูกส่วนขากับ สะบ้าจากเข่าคน กับมีตะขอเหล็กขนาดใหญ่อีก 1 ตัว ด้วย
จากการพบส่วนกระโหลกศรีษะของมนุษย์ถึง 2 หัวในท้องจระเข้ยักษ์ตัวนี้ ซึ่งเป็นการพิสูจน์อย่างแน่ชัดว่าจระเข้ตัวนี้เป็น “คุณด่าง” จระเข้ยักษ์แห่งคลองบางมุดแน่ Gustave จระเข้ยักษ์ที่่ฆ่าและกินคนมากที่สุดในโลก โลลอง จระเข้ยักษ์จากฟิลิปินส์
สำหรับส่วนกระโหลก 2 ชิ้นนี้ แสดงว่า ‘คุณด่าง’ จระเข้ยักษ์ได้กินคนมาแล้ว 2 คน นอกจากการกัดกินคนอื่น ๆ ซึ่งคุณด่างเลือกกินเฉพาะส่วนท้องเท่านั้น จึงเป็นเครื่องยืนยันว่า จระเข้ยักษ์ตัวนี้ต้องกินคนมาก่อนหน้านี้
โลลอง จระเข้ยักษ์จากฟิลิปินส์
กินเนสบุ๊กประกาศให้การรับรอง เจ้า โลล็อง จระเข้น้ำจืดขนาดความยาว 6.17 เมตร เป็นจระเข้ที่ถูกจับได้จากธรรมชาติ ที่มีขนาดร่างกายใหญ่โตที่สุดในโลกแล้ว
สำนักข่าวเอพีรายงานจากกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ว่า สถาบันบันทึกสถิติโลก กินเนส ประกาศให้การรับรองโลล็อง จระเข้น้ำจืดขนาดยักษ์ของฟิลิปปินส์ เป็นจระเข้ที่ถูกจับได้ที่ตัวใหญ่ที่สุดในโลกตัวใหม่ จากขนาดความยาวของลำตัว 6.17 เมตร (20.24 ฟุต) น้ำหนักกว่า 1 ตัน โดยเจ้าของสถิติก่อนหน้านี้คือ แคสเซียส จระเข้น้ำจืดของออสเตรเลีย ซึ่งมีขนาดความยาวลำตัว 17 ฟุต
โลล็อง ถูกชาวบ้านและลูกจ้างฟาร์มจระเข้ท้องถิ่น จับได้เมื่อเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว จากบึงใหญ่ในเมืองบูนาวาน จังหวัดอากูซาน เดล ซูร์ ทางใต้ของฟิลิปปินส์ หลังการตามล่าจระเข้ที่เชื่อว่าสังหารชาวบ้านหลายรายก่อนหน้านั้น โลล็องถูกเลี้ยงไว้ในบ่อเลี้ยง ที่มีสภาพแวดล้อมใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด ในเมืองบูนาวานนับตั้งแต่นั้น ข่าวการประกาศรับรองสถิติโลกของกินเนส สร้างความดีใจแก่ประชาชน 37,000 คนของเมืองบูนาวานเป็นอย่างยิ่ง และมีการจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองอย่างเอิกเกริก โดยมี นายเอ็ดวิน ค็อกซ์ อีลอร์เด นายกเทศมนตรีเป็นแม่งาน.
เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2556 สำนักข่าวเอพี รายงานว่า เจ้าโลลอง จระเข้น้ำเต็มขนาดยักษ์ของฟิลิปปินส์ตายแล้ว ที่ฟาร์มเลี้ยงในเมืองบูนาวาน ของจังหวัดอากูซานเดลซูร์ ทางภาคใต้ของประเทศฟิลิปปินส์
โดย นายเอ็ดวิน ค็อก อีลอร์เด นายกเทศมนตรีเมืองบูนาวาน เปิดเผยว่า สัตวแพทย์รีบรุดไปยังฟาร์มเลี้ยงดูแลในเมืองบูนาวาน ซึ่งจัดภูมิทัศน์ที่อยู่อาศัยเป็นพิเศษสำหรับเจ้าโลลอง ขนาดน้ำหนัก 1 ตัน หลังได้รับแจ้งว่า พบมันมีอาการท้องบวมมากจนหงายท้อง ภายในคอกเลี้ยงของฟาร์ม ก่อนจะประกาศว่า มันตายแล้ว ในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา และกำลังดำเนินการตรวจพิสูจน์เพื่อหาสาเหตุ
กุสตาฟ (Gustave) จระเข้ยักษ์ที่่ฆ่าและกินคนมากที่สุดในโลก
ส่วนใหญ่สัตว์ที่ฆ่ามนุษย์นั้นมักพบจุดจบด้วยฝีมือมนุษย์ทั้งสิ้น หากแต่ยกเว้นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง มันคือ “กุสตาฟ” จระเข้
แม่น้ำไนล์ ยักษ์ที่ ใหญ่ที่สุดในแอฟริกาและของโลก (จระเข้เลี้ยงและใหญ่ที่สุดอยู่ในประเทศไทย ยาว 6 เมตรเช่นกัน) มัน
อาศัย และอาละวาดคนในบริเวณแม่น้ำลูซิซิและชายฝั่ง ทางตอนเหนือของทะเลสาปแทนแกนยิกา ประเทศบุรุนดี ทวีป
แอฟริกา
ด้วยความยาวกว่าหกเมตร (ในปี 2004 มีการประมาณว่า มันมีอายุ 60 ปี ยาวกว่า 6.1 เมตร หนักกว่า 1 ตัน จึงไม่แปลกแต่อย่าง
ใดที่หลายคนขนานนามว่ามอนสเตอร์ แห่งแอฟริกา รวมไปถึงมันเป็นสัตว์นักล่ากินคนด้วยมัน ได้ฆ่าคนกว่า 300 คนและ อาจ
มากขึ้นในอนาคต เพราะจนบัดนี้มันยังคงมีชีวิต ไม่ได้หายไปไหน และไม่ได้ ถูกฆ่าแต่อย่างใด และมันเป็นสัตว์ฆ่ามนุษย์เพียง
ตัวเดียวที่ยังเป็นตำนานที่ยังมีลม หายใจชีวิตอยู่ ( เหยื่อ 300 รายนั้นไม่ได้ถูกบันทึกเป็นทางการ ซึ่งอาจเป็นการ กล่าวอ้างที่
เกินจริงของคนพื้นเมือง)
กุสตาฟถูกตั้งชื่อโดย แพทริช เฟย์ (Patrice Faye) ชาวฝรั่งเศสที่ตั้งถิ่นฐานใน บุรุนดีและพยายามที่จะจับมันตั้งแต่ปี 1998 ซึ่ง
เขาพยายามนำกรงเหล็กใหญ่ล่อ มัน แต่จระเข้นั้นฉลาดมาก ไม่เคยหลงกลติดกับแม้แต่หนเดียว แถมมันเยาะเย้ย ทีมงานของ
แพทริชอีก แต่กระนั้นภาพของมันก็ถูกบันทึกออกอากาศทาง PBS พฤษภาคม 2004
ชาวบ้านในท้องถิ่นต่างบอกว่าสาเหตุที่มันล่ามนุษย์นั้น เพื่อความสนุกสนานของ มันเท่านั้น หลักฐานคือเอกลักษณ์ประจำตัว
มันคือเมื่อมันฆ่าเหยื่อที่เป็นมนุษย์แล้ว มันจะเหลือซากทิ้งไว้ไม่ได้กินหมดแต่อย่างใด อีกทั้งมันฉลาดมากเพราะเมื่อมัน
ฆ่าคนแล้วมันจะหายไปอาจนานเป็นเดือนหรือเป็นปีมันจะออกมาอีกครั้งในสถาน ที่แตกต่างกันเพื่อฆ่าอีกครั้ง จนไม่มีคาดการ
ได้ว่ามันจะปรากฏที่ใด นอกจากเจ้า จระเข้นี้ยังมีความต้องการอาหารมากกว่าปกติ ถึงขั้นฆ่าช้างน้ำฮิปโปโปเตมัสตัว เต็มวัยได้
(ฮิปโปโปเตมัสเป็นสัตว์อันตรายมาก และเป็นสัตว์ที่จระเข้ไม่กล้ากิน พวกมันและพยายามหลีกเลี่ยง) เกราะร่างกายของเจ้ากุส
ตาฟนั้นเต็มไปด้วยรอย แผลนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็น มีด หอก หรือแม้กระทั้งอาวุธปืน มันสามารถเอาชีวิต ได้แม้ว่าจะมีนาย
พรานหรือทหารติดอาวุธมาล่ามันก็ตาม และตำนานของมันได้
ดูกันชัด จระเข้ที่ตัวเล็กๆนั้น มันขนาดโตเต็มที่แล้วนะครับ
แต่ดูเจ้าตัวบนนั้นนั้นครับ

วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ชาวเน็ตทึ่ง! หนุ่มท่องโลก 201 ประเทศใน 1 วินาที

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า คลิปวิดีโอหนุ่มอังกฤษขาจรที่โพสต์ภาพบันทึกการเดินทางไปทั่วโลก ภายในเวลาแค่ 3 นาทีเศษ หรือประเทศละหนึ่งวินาที กลายเป็นคลิปวิดีโอที่กำลังได้รับความสนใจจากชาวเน็ตทั่วโลก ที่ต่างก็ประหลาดใจกับการเดินทางไปใน 201 ประเทศทั่วโลก ภายในระยะเวลาเกือบ 4 ปี
เกรแฮม ฮิวจ์ส หนุ่มอังกฤษ วัย 33 ปี โพสต์คลิปวิดีโอลงในช่องยูทูปส่วนตัว Graham Hughes โดยใช้ชื่อคลิปว่า One Second | Every Nation ซึ่งใช้เวลาตัดต่อภาพและเอ่ยชื่อประเทศต่างๆ ทั้ง 201 ประเทศที่เขาไปเยือน ใช้เวลาเพียงแค่ประเทศละ 1 วินาที ลงในคลิปวิดีโอความยาว 3 นาทีเศษ
เกรแฮม ได้เริ่มออกเดินทางไปทั่วโลกตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2009 เริ่มต้นเส้นทางที่ประเทศบราซิล ประเทศแถบอเมริกาใต้ หมู่เกาะแคริบเบียน ทวีปอเมริกากลางและอเมริกาเหนือ ก่อนจะท่องทวีปยุโรปอยู่เป็นปี วกลงมาที่ทวีปแอฟริกา เยือนโซนเอเชียตะวันออกกลาง เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกไกล เรื่อยลงมาสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เข้าสู่ทวีปออสเตรเลียและโซนโอเชียเนีย ก่อนจะไปสิ้นสุดการเดินทางที่ประเทศซูดานใต้ ทวีปแอฟริกา ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2012 รวมระยะเวลาทั้ง 1,426 วัน หรือเกือบ 4 ปี
การเดินทางทั่วโลกของเขาไม่ได้ราบรื่นเสมอไป เกรแฮม มีงบประมาณแค่ 100 เหรียญสหรัฐ (ราว 3,000 บาท) ต่อสัปดาห์ บางประเทศไม่มีสายการบินเข้าถึง ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ หรือ ต้องนั่งรถต่อรถไฟและเดินเท้า รวมระยะทางกว่า 160,000 ไมล์ อีกทั้งยังมีประสบการณ์ติดคุกที่ประเทศคองโกกว่า 1 สัปดาห์ เนื่องจากโดนข้อกล่าวหาว่าเป็น 'สายลับ' หรือ ถูกหลอกจนเกือบเอาตัวไม่รอดที่ประเทศฟิลิปปินส์
นอกจากนี้ เกรแฮม ยังมอบเงินบริจาคส่วนตัวให้กับมูลนิธิวอลเตอร์เอด (WaterAid) เพื่อช่วยเหลือชีวิตความเป็นอยู่และการศึกษาให้แก่เด็กผู้อยากไร้ ที่เขาประสบพบเจอกับตัวเองในหลายๆ พื้นที่ทั่วโลก ส่วนสถานที่ที่ประทับที่สุดของเขาคือ หมู่เกาะปาเลาและโซนโอเชียเนีย
Source: TheOdysseyExpedition.com / GrahamHughes@YouTube